ยาต้านอารมณ์ซึมเศร้า หดหู่ น่าจะกลายหรือเกือบกลายเป็นยาสามัญประจำตัวของคนไทยไปแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อทำการซักประวัติ ตรวจคนไข้ และประเมินโรคและยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยได้รับจะปรากฏว่า ได้รับยาหดหู่ซึมเศร้า ยาคลายกังวล ทั้งนี้เนื่องจากนอนไม่หลับ ปรับตัวไม่ได้ จนรบกวนชีวิต การทำงานและการบ้านเป็นจำนวนมากกว่าครึ่ง
ในประเทศอังกฤษเองก็เป็นเช่นกัน โดยกลายเป็นกลุ่มประเภทของยาที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด และในปี 2018 ปีเดียว มีการสั่งจ่ายถึง 70 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากทศวรรษที่แล้วถึงสองเท่า และคงเป็นเหมือนกันทั่วโลก
จากรายงานของคณะผู้วิจัยของอังกฤษโดยได้รับทุนวิจัยจาก National Institute of Health Research (NI) School for Primary Care Research และจาก the NI Biomedical Research Centre at University Hospitals Bristol and Weston NHS Foundation Trust and the University of Bristol ตีพิมพ์ในวารสารทางจิตวิทยาของอังกฤษ British journal of Psychiatry วันที่ 13 กันยายน 2022
โดยคณะผู้วิจัยได้ปูพื้นถึงคำแนะนำใหม่ในการใช้ยาต้านหดหู่ซึมเศร้า ในปี 2022 ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งนี้การให้ในระยะยาวเพื่อป้องกันการกำเริบใหม่ หลังจากที่อาการสงบไปแล้ว ควรจะอยู่ที่อย่างน้อยหกเดือน หรือนานถึงสองปีสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะมีความหดหู่ซึมเศร้ากำเริบอีก
...
ทั้งนี้ ในประเทศอังกฤษ พบว่าส่วนใหญ่จะได้รับยาไปยาวนานต่อเนื่องแล้วถึง 5.5 ปี ด้วยซ้ำ โดยที่ไม่มีข้อมูลชัดเจนถึงผลกระทบทางสุขภาพในการใช้ยาตระกูลนี้เป็นระยะเวลายาวนาน
การศึกษาในหลอดทดลองมีรายงานว่า ยาต้านหดหู่ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลเสียสมดุลทางเมตาบอลิกของร่างกายและระบบหัวใจและหลอดเลือด
ข้อมูลการติดตามผลกระทบในมนุษย์ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากระยะเวลาของการติดตามสั้น และนอกจากนั้น ภาวะหดหู่ ยังเกี่ยวโยงไปถึงความอ้วน โภชนาการที่ไม่ดี การสูบบุหรี่และไม่ออกกำลังกาย
ดังนั้น การศึกษาผลกระทบของยากลุ่มนี้จำเป็นต้องมีความระมัดระวังในตัวแปรเหล่านี้ด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะผู้วิจัยชุดนี้จึงได้ใช้ข้อมูลจากคลังข้อมูลของอังกฤษ UK Biobank โดยที่คลังบรรจุข้อมูลที่มีความละเอียดทาง อายุ เพศ น้ำหนัก BMI สัดส่วนเอวและก้น เศรษฐานะ พฤติกรรม รวมการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า การออกกำลังกาย โรคประจำตัว พื้นฐานสุขภาพ การใช้ชีวิต แม้กระทั่งลึกไปถึงปัจจัยที่จะส่งผลทำให้เกิดโรคคาร์ดิโอเมตาบอลิก ทั้งหมดโดยรวบรวมไว้ประมาณ 500,000 คน
จากจำนวน 500,000 ราย ได้ทำการคัดเลือกกลุ่มศึกษาระหว่างปี 2006 ถึง 2010 โดยที่มีอายุระหว่าง 40 ถึง 69 ปี เป็นจำนวน 222,121 ราย โดยทุกคนมีข้อมูลบันทึกล่วงหน้าก่อนที่จะทำการวิเคราะห์อย่างน้อย 12 เดือน และไม่เคยได้รับยาโรคจิต ยาลิเธียม หรือยาสงบอาการคลุ้มคลั่ง หรือเป็นโรคทางคาร์ดิโอเมตาบอลิกอยู่แล้ว และมีการใช้ยารักษา
หลังจากที่ได้ปรับตัวแปรหรือปัจจัยอื่นๆที่จะส่งผลให้เกิดโรคทางหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disease CVD) โรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disease CHD) และโรคหลอดเลือดสมอง (CV) และการตายจากทุกสาเหตุ
พบว่า การใช้ยากลุ่มนี้ ซึ่งมักจะเป็น mirtazapine, venlafaxine, duloxetine, และ trazodone เป็นส่วนใหญ่ แต่ยาตัวอื่นที่เพิ่ม ซีโรโทนิน selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ก็มีผลด้วยเช่นกัน
โดยทำให้มีความเสี่ยงของ CHD CVD และความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในกรณีการตายจาก CVD ประมาณสองเท่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดสมอง CV และความเสี่ยงของการตายจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้นสองเท่า
แต่ที่ประหลาดใจก็คือ ยากลุ่มนี้กลับลดความเสี่ยงของการที่จะเกิดความดันโลหิตสูง 23% และลดความเสี่ยงของเบาหวานลง 32%
...
คณะผู้วิจัยไม่สามารถอธิบายได้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อหัวใจและหลอดเลือด จนกระทั่งถึงความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งๆที่เหมือนกับว่ามีผลดีต่อการลดความเสี่ยงโรคความดันสูงและเบาหวานด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้จากการศึกษานี้ ทำให้จำเป็นต้องมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ยาในระยะยาวว่า อาจมีความสุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดอันตรายได้ โดยก่อนหน้านี้เข้าใจว่าปลอดภัย (harm-free) และต้องมีการสื่อสารระหว่างแพทย์และผู้ป่วยเพื่อชั่งน้ำหนักประโยชน์และผลข้างเคียงที่จะได้รับจากการใช้ยา
และในกรณีที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ ควรต้องมีการติดตามผลกระทบต่อหัวใจและเส้นเลือดเป็นระยะด้วย
ข้อจำกัดของการศึกษานี้อยู่ที่ไม่สามารถอธิบายความเป็นเหตุและผลของการใช้ยาได้ชัดเจน โดยที่คนที่มีแนวโน้มที่จะมีอาการหดหู่ซึมเศร้าอาจจะมีความโน้มเอียงที่จะเกิดเรื่องต่างๆเหล่านี้อยู่แล้ว
การที่จะเชื่อมโยงความเป็นเหตุและผลได้นั้นอาจจะต้องมีหลักฐานประกอบตาม Bradford Hill criteria 9 ข้อ กล่าวคือ strength, consistency, specificity, temporality, biological gradient, plausibility, coherence experiment analogy คำอธิบายเหล่านี้เพื่อทำให้หลักฐานความเกี่ยวโยงมีความแน่นแฟ้นขึ้น จากข้อมูลที่ได้ทางระบาดวิทยา
...
กล่าวโดยสรุป ข้อมูลเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญให้ทุกคนมีความตระหนักในเรื่องของการใช้ยาและมีความจำเป็นที่ต้องใช้ตัวช่วยอื่นๆ เพื่อบรรเทาและรักษา ก่อนที่จะใช้ยา และเมื่อใช้ยาแล้วหลีกเลี่ยงการใช้ยาควบกันหลายตัว ไม่ว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือต่างกลุ่มกันก็ตาม และระยะเวลาที่ใช้ควรเป็นตามความจำเป็นเพื่อไม่ให้ร่างกายเป็นสนามรบของยาในที่สุด พบใครที่มีความทุกข์ ช่วยกันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แล้วเราจะมีความสุขกันทุกคนครับ.
หมอดื้อ